รูปแบบการปูกระเบื้อง (Tiling Pattern) สำคัญไฉน?

"รูปแบบการปูกระเบื้อง สำคัญไฉน?"

ก่อนอื่นเราควรจะรู้พื้นฐานบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกระเบื้องสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า สี ลาย พื้นผิวของกระเบื้อง รวมถึงดีไซน์แพทเทิร์นการปูกระเบื้องพื้นหรือผนังในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มลูกเล่นความมีมิติ ความแตกต่าง ดูดีมีสไตล์ ให้แก่พื้นและผนังมากขึ้น ถ้าหากกระเบื้องเลือกใช้มีลายแต่ละแผ่นแตกต่างกัน ควรลองนำกระเบื้องมาจัดเรียงเพื่อกำหนดระยะ ตำแหน่ง ให้ได้ความสวยงามและลงตัวก่อนลงมือปูจริง ซึ่งวันนี้เรารวบรวมการวาง pattern กระเบื้องพื้นและผนัง ซึ่งมีรูปแบบต่างๆดังนี้

1. แบบเส้นตรง (Straight Lay Pattern)

เป็นแบบที่พบบ่อยที่สุด และทำได้ง่ายที่สุด แผ่นกระเบื้องจะถูกวางต่อกันเป็นเส้นตรงให้เกิดลวดลายตารางเป็นช่องๆ เรียบง่าย ใช้ได้กับกระเบื้องแผ่นใหญ่และแผ่นเล็ก

2. แบบวางสลับกึ่งกลางหรือแบบก่ออิฐ (Running Bond or Brick Pattern)

เป็นแบบเรียบง่ายอีกหนึ่งแบบ ส่วนท้ายของกระเบื้องแต่ละแผ่นจะวางในแนวตรงกลางของกระเบื้องด้านบนและด้านล่าง รูปแบบนี้สามารถกลบเกลื่อนเส้นยาแนวที่ไม่ตรงกันได้ เหมาะสำหรับปูพื้นทางเดินหรือผนัง ช่วยทำให้ห้องดูกว้างขึ้น

3. แบบทแยงมุมหรือแบบลายเพชร (Diagonal or Diamond Pattern)

เป็นแบบปูกระเบื้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสในมุม 45 องศา เพื่อสร้างเป็นลวดลายรูปเพชร การปูแบบนี้ช่วยทำให้ห้องดูกว้างขึ้น เหมาะสำหรับห้องน้ำหรือห้องครัวที่มีพื้นที่น้อย

4. แบบก้างปลา (Herringbone Pattern)

เป็นแบบปูกระเบื้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้เป็นรูปตัว V ทำมุม 45 องศา สามารถดึงดูดสายตาให้มองกว้างขึ้น ทำให้พื้นที่นั้นมีความกว้างมากกว่าความเป็นจริง เหมาะปูในโถงทางเดินแคบหรือห้องน้ำขนาดเล็ก

5. แบบกระดานหมากรุก (Checker Board Pattern)

เป็นแบบปูกระเบื้องในรูปแบบกระดานหมากรุกสลับ 2 สี จะปูกระเบื้องในแนวเส้นตรงหรือแนวทแยงมุมก็ได้ สามารถเลือกกระเบื้องสีดำและสีขาวแบบดั้งเดิมหรือเลือกกระเบื้องเฉดสีอื่นที่แตกต่างกันมาตกแต่งพื้นได้หลากหลายไม่จำกัด เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ห้องน้ำ

6. แบบตะกร้าสาน (Basket Weave Pattern) 

เป็นแบบปูกระเบื้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า 1 ชุด มาวางให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จากนั้นนำกระเบื้องชุดต่อไป มาวางชิดกัน โดยสลับเป็นมุม 90 องศา สลับแนววางต่างจากกระเบื้องคู่ก่อนหน้า จนเกิดเป็นลายกระเบื้องที่สวยงาม เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ห้องน้ำ ห้องแต่งตัวหรือห้องครัว

7. แบบกังหันลม (Windmill Pattern)

เป็นแบบปูกระเบื้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า 4 แผ่น ถูกนำไปวางรอบกระเบื้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส เกิดเป็นรูปร่างคล้ายกังหันลม ต้องเลือกกระเบื้องและยาแนวที่มีสีตัดกัน เพื่อเพิ่มลูกเล่น เหมาะสำหรับห้องน้ำ

8. แบบกังหัน (Pinwheel Pattern)

ใช้วิธีปูแบบเดียวกับรูปแบบกังหันลม แต่เปลี่ยนมาใช้กระเบื้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมดโดยการนำกระเบื้องแผ่นใหญ่ปูล้อมรอบกระเบื้องแผ่นเล็กที่วางตรงกลาง แนะนำว่าให้เลือกกระเบื้องที่มีสีตัดกัน วิธีปูแบบนี้จะนิยมใช้กับกระเบื้องดินเผาหรือกระเบื้องหิน

9. แบบเชฟรอน (Chevron Pattern)

เป็นแบบปูกระเบื้องลายฟันปลาหรือซิกแซก ทำให้ห้องดูดีมีระดับ ดูแพง โดยนำกระเบื้องรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตัดส่วนปลายในแนวเฉียง มาวางประกบกันให้เป็นรูปตัว V แล้ววางเรียงต่อกันขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อมองตามแนวนอนแล้วจะเห็นเป็นลายซิกแซกหรือฟันปลา กระเบื้องจะต่อลายกันอย่างอิสระ ผสมผสานกันอย่างลงตัว นิยมใช้กับกระเบื้องลายไม้ เพราะสามารถเล่นกับลวดลายของไม้ได้ไม่จำกัด 

10. แบบหกเหลี่ยม (Hexagon Pattern)

การปูกระเบื้องรูปแบบหกเหลี่ยมนั้น คุณต้องตัดกระเบื้องเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมเสียก่อน จากนั้นนำมาวางต่อกันเป็นรวงผึ้ง วิธีปูแบบนี้เหมาะปูกระเบื้องพื้นและกรุผนัง เช่น พื้นห้องน้ำหรือแบ็กดรอปภายในห้องครัว สามารถเล่นสีและลวดลายได้หลากหลาย

เดี๋ยวก่อนนะครับยังไม่จบ แพทเทิร์นที่รวบรวมมานี้สามารถนำใช้กับส่วนอื่นๆ ได้ เช่น เคาร์เตอร์หรือท็อปโต๊ะ และที่สำคัญผลงานจะออกมาสวยหรือไม่สวย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแพทเทิร์นหรือกระเบื้องเท่านั้นนะครับ ขึ้นอยู่กับช่างฝีมือที่ปูกระเบื้องให้คุณด้วย และควรปูกระเบื้องเต็มแผ่น บริเวณที่เห็นชัด ปัดเศษไปที่มุมที่มองไม่ค่อยเห็น เช่น หลังประตู หลังชักโครก ซึ่งถ้ามีเศษไปอยู่ที่ Floor Drain จะสามารถปรับระบายน้ำได้ง่ายขึ้น

Message us
error: Content is protected !!